เทศนา ภาคเช้า 2013-03-03
หัวข้อ : จงลุกขึ้นยกแคร่เดินไปเถิด
มาระโก 2:1-12
โดย ศจ.สยาม ม่วงศักดิ์
หลังจากผ่านไปหลายวัน พระองค์เสด็จเข้าไปในเมืองคาเปอรนาอุมอีก เมื่อคนทั้งหลายได้ยินว่าพระองค์ประทับอยู่ที่บ้าน คนจำนวนมากก็มาชุมนุมกันจนล้นออกไปถึงนอกประตู ขณะที่พระองค์กล่าวพระวจนะให้พวกเขาฟังอยู่นั้น มีคนสี่คนหามคนง่อยคนหนึ่งมาเฝ้าพระองค์ แต่เมื่อพวกเขาไม่สามารถเข้าไปถึงตัวของพระองค์เพราะมีคนมาก พวกเขาจึงเจาะดาดฟ้าตรงที่พระองค์ประทับนั้น และเมื่อทำเป็นช่องแล้ว พวกเขาก็หย่อนแคร่ที่คนง่อยนอนอยู่ลงไป เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นความเชื่อของพวกเขา พระองค์จึงตรัสกับคนง่อยว่า “ลูกเอ๋ย บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว” แต่มีพวกธรรมาจารย์บางคนนั่งอยู่ที่นั่นและคิดในใจว่า “ทำไมคนนี้พูดอย่างนี้ หมิ่นประมาทพระเจ้านี่ ใครจะอภัยบาปได้นอกจากพระเจ้าองค์เดียว” พระเยซูทรงทราบในพระทัยทันทีว่าพวกเขาสนทนากันในหมู่พวกเขาอย่างนั้น จึงตรัสว่า “ทำไมพวกท่านถึงคิดในใจอย่างนี้ การที่พูดกับคนง่อยว่า ‘บาปต่างๆ ของท่านได้รับการอภัยแล้ว’ กับการพูดว่า ‘จงลุกขึ้นยกแคร่เดินไปเถิด’ แบบไหนจะง่ายกว่ากัน ทั้งนี้เพื่อให้พวกท่านรู้ว่าบุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจในโลกที่จะอภัยบาปได้” พระองค์จึงตรัสสั่งคนง่อยว่า “เราสั่งท่านว่า จงลุกขึ้นยกแคร่แล้วกลับบ้านของท่าน” คนง่อยก็ลุกขึ้น แล้วยกแคร่ของตนทันที เดินออกไปต่อหน้าคนทั้งหลาย ทุกคนก็ประหลาดใจและสรรเสริญพระเจ้ากล่าวว่า “เราไม่เคยเห็นอะไรอย่างนี้เลย”
วันนี้เรามีอะไรเกิดขึ้นในชีวิต ในโลก ในประเทศของเรา เมื่อเช้าผมได้อ่านหนังสือพิมพ์ ผมมีคำถามในใจว่า เรื่องที่เกิดขึ้นต่างๆ รอบตัวเราจะจบลงอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นปัญหาต่างๆ ในภาคใต้ เรื่องการจำนำข้าว และที่มีปัญหาหนักที่สุดคือ โรงเรียนและโรงพยาบาลของสภาคริสตจักรในประเทศไทยติดปัญหาค่าแรงขั้นต่ำและการปรับฐานเงินเดือนสำหรับครู โรงเรียน26แห่งภายใต้สภาคริสตจักรมีเพียงแค่ 10 แห่งที่สามารถผ่านปัญหานี้ไปได้ รวมทั้งโรงพยาบาลที่มีบุคลากรลาออกไปค่อนข้างมาก รวมทั้งคริสตจักรที่มีเงินไม่พอที่จะจ่ายให้กับศินยาภิบาล เรามีปัญหามากมาย ไม่ว่าจะการเมืองและเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามสิ่งเหล่าเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่พระวัจนะของพระเจ้าเป็นเรื่องการอัศจรรย์ ซึ่งเหมือนกับว่าคนที่มีปัญหาได้มาหาพระเยซูคริสต์เพื่อจะได้รับการรักษาจากพระองค์ เรื่องนี้เป็นเรื่องของชายที่เป็นง่อย เขาเดินไม่ได้ เป็นความทุกข์ของเขาและคนรอบข้างที่ทำอะไรก็ไม่สะดวก ในวันนั้นพระเยซูไปที่บ้านของเปโตรสาวกของพระเยซูคริสต์ ในพระคัมภีร์บอกว่ามีคนไปฟังสิ่งที่พระองค์ทรงสอนจนล้นออกมาข้างนอกบ้าน แสดงว่าวันนั้นมีผู้คนอยากจะฟัง อยากจะเห็น และสนใจพระเยซูเป็นจำนวนมาก มีสี่คนหามคนง่อยนี้ไปหาพระเยซู เขานั้นคิดว่า พระเจ้าจะสามารถรักษาชายง่อยนี้ได้ เมื่อพระเยซูเจอเขา คำแรกที่ตรัสคือ ลูกเอ๋ย บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว พระเยซูตรัสเพียงเท่านี้ เขาก็ลุกขึ้นเดินได้ ในบ้านของเปโตรนอกจากจะมีคนที่อยากจะมาฟังพระวัจนะจากพระเยซูแล้ว ก็ยังมีคนที่คอยจะจับผิดพระองค์ด้วย คือพวกธรรมมาจารย์ ในพระคัมภีร์เราพบข้อเท็จจริงหรือสัจธรรม 3 ประการว่า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า พระองค์ทรงแสดงความรัก ด้วยการยกบาปให้กับคนง่อยคนนั้น แสดงว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า อะไรที่จะพิสูจน์ได้บ้างว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า
1 พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงรู้ความคิดของมนุษย์ ในข้อที่ 8 พระเยซูทรงรู้ความคิดภายในจิตใจของธรรมาจารย์ ว่าพวกเขาคิดอย่างไร ฉะนั้นพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า และพระองค์ก็ทรงรู้ความคิดของเราทุกคน
2 พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าเพราะพระองค์ทรงอภัยความบาปได้ พระองค์บอกว่า พระองค์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระบิดา พระองค์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า
3 พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าเพราะพระองค์ทรงรักษาโรคได้ พระเจ้าเท่านั้นที่่ทำได้ ทรงทำให้คนป่วย หายจากความเจ็บป่วยได้
เมื่อพระเยซูทำการอัศจรรย์แล้ว เหล่าธรรมาจารย์กล่าวหาว่าคนง่อยนี้ดูหมิ่นพระเจ้า พระเยซูบอกว่า ระหว่างการอภัยบาป กับการให้ลุกขึ้นเดินกลับบ้าน อะไรง่ายกว่ากัน ความจริงแล้วการอภัยบาปง่ายกว่า เพราะความบาปเป็นนามธรรม จับไม่ได้ สัมผัสไม่ได้ เมื่อพระเยซูบอก คนเหล่านั้นไม่รู้ว่าอภัยแล้วจริงหรือไม่ แต่เมื่อพระเยซูบอกให้ลุกขึ้นและยกแคร่กลับไป ผู้คนสามารถเห็นได้ จับได้ สัมผัสได้ ถ้าพระเยซูตรัสแล้วคนง่อยลุกขึ้นไม่ได้ พระเยซูก็เสียหน้า แต่แท้จริงแล้วการอภัยบาปสำคัญกว่าสิ่งอื่น แต่เมื่อคนอยากเห็น พระองค์จึงแสดงให้คนเหล่านั้นเห็น ในพระคัมภีร์ตอนนี้เป็นการช่วยเราให้เข้าใจว่าทุกๆ อย่างในชีวิตที่เป็นปัญหาและอุปสรรคสามารถแก้ไขได้โดยพระเจ้า พระองค์เป็นคำตอบของทุกๆ สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต พระคัมภีร์ทุกข้อมีคำตอบในแต่ละสถานการณ์ ในมาระโก บทที่ 2 ข้อ 1-12 เป็นคำตอบให้กับเราอย่างไรบ้าง
เป็นได้ 4 ประการด้วยกันคือ
1 เราพบในข้อ 5 เมื่อพระองค์เห็นคนสี่คนเดินมาหาพระองค์ ในพระคัมภีร์บอกว่า พระองค์ทรงเห็นความเชื่อในคนเหล่านั้น เพราะเขาตั้งใจที่จะให้พระองค์รักษาคนง่อยนี้ และพวกเขาวางใจในพระเจ้า ถ้าเราเชื่อเราจะเห็นความยิ่งใหญ่ เห็นความอัศจรรย์จากพระเจ้า ถ้าเรามีความเชื่อ เราสามารถทำอะไรก็ได้ ผมเคยมีปัญหาในชีวิตหลายครั้ง ครั้งหนึ่งผมไปที่นิวยอร์ก และไปหาเพื่อนคนหนึ่ง เมื่อจะกลับ ปรากฏว่าไม่มีเครื่องบิน ผมจึงนั่งอธิษฐานและลุกขึ้นไปหาที่เคาท์เตอร์อีกครั้ง เขาบอกว่ามีสายการบินว่าง แต่ต้องไปอีกสนามบินหนึ่ง แต่ไม่นานผมก็เห็นเพื่อนผมขับรถกลับมาที่สนามบิน เพื่อนผมบอกว่าไม่รู้ว่ามีเหตุอะไรให้ต้องกลับมา ผมรู้เลยว่าเป็นแผนการของพระเจ้าที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้
2 พวกเขาสี่คนนั้น มีความรักให้กับคนง่อย ถ้าเขาไม่รัก เขาจะไม่สนใจคนง่อยนี้เลย พระเจ้าทรงเป่าลมปราณให้กับผงคลีดินด้วยความรัก มนุษย์จึงมีความรักของพระเจ้า ยิ่งเรามีความรักมาก ก็ยิ่งมีพระเยซูอยู่ในใจด้วยความรักมาก
3 เขามีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน มีความพร้อมเพรียงในการแบกแคร่ไปพร้อมๆ กัน ถ้าคนใดคนหนึ่งเลิกทำ ก็ไม่สามารถนำแคร่มาหาพระเยซูได้
4 ชายทั้ง 4 มีความเสียสละ เราพบว่าเขาเสียสละที่จะไม่เข้าไปในบ้านเปโตรเพื่อฟังสิ่งที่พระองค์ทรงสอน เข้าขึ้นไปรื้อหลังคาบ้านเปโตร เขาเสียสละเงินที่จะซ่อมหลังคาบ้านให้เปโตร เขายอมเสียสละชีวิตที่ขึ้นไปในที่สูงๆ ซึ่งอันตราย และเสียสละเวลาของเขาที่จะแบกคนง่อยนี้มาหาพระองค์
เราจะทำอย่างไรให้ที่แห่งนี้เหมาะแก่การนมัสการและเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า เรื่องเงิน เรื่องการก่อสร้างต่างๆ ไม่สำคัญ ถ้าเกิดพระเจ้าจะให้เรา ถ้าเรามีความเชื่อที่เข้มแข็ม มีความรักซึ่งกันและกัน มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และมีความเสียสละ เพื่อกิจของพระองค์ ถ้าเป็นน้ำพระทัยของพระองค์ แม้ว่าเราอาจจะกลัวบ้าง แต่ให้เราทำด้วยความเชื่อฟัง อย่างพระเยซูคริตส์ที่ยอมเชื่อฟังจนมรณาที่บนไม้กางเขน พระองค์รักทุกคนแม้ว่าคนๆ นั้นจะจน จะเป็นโรค จะมีบาปมากมาย และพระองค์เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับพระบิดา ถ้าเรามีครบทั้ง 4 ประการนี้ พระเยซูก็พร้อมที่จะตรัสกับเราเหมือนอย่างที่ตรัสกับคนง่อยในเวลานั้น